ผมอกหัก

ผมอกหัก
คนเราทุกคนเมื่อเติบโตขึ้นมา เมื่อถึงวัยอันควร หรือเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง เราจะมีความรัก จะมีความรู้สึกชอบใครบางคนเป็นพิเศษ มีความห่วงใยใครบางคนเป็นพิเศษ อยากเห็นหน้า อยากพูดคุย อยากไปไหนมาไหนด้วยกัน อยากอยู่ด้วย อยากช่วยเหลือ อยากดูแล นั่นคือความรัก
ความรักนั้นเกิดจากสาเหตุ ๒ อย่าง คือ
๑. บุปเพสันนิวาส แปลว่า การอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ความหมายก็คือ ชาติก่อน ๆ นั้น เคยครองคู่กัน เคยสร้างกรรมร่วมกันมา และกรรมที่สร้างร่วมกันมานั้น เป็นเหตุให้มาเจอกันในชาตินี้ และมีความรู้สึกผูกพัน จนก่อเกิดเป็นความรักขึ้นมา

๒. การช่วยเหลือเกื้อกูลกันในปัจจุบัน คือการที่เราได้รู้จักกับใครสักคนแล้วได้ช่วยเหลือกัน ทำให้ได้รู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น สนิทสนมกันมากขึ้น เห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น ผูกพันกันมากขึ้น ห่วงใยกันมากขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นความรักขึ้นมา
พอมีความรักกับใครสักคนขึ้นมาแล้ว ก็จะมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมาอีก นั่นก็คือ ไม่อยากเสียเขาไป และความรู้สึกนี้นี่แหละ ที่จะเป็นสาเหตุของความทุกข์ในอนาคต
“ใจคนไม่แน่นอน มันยอกย้อนเหลือเกินนะใจ” ข้อความนี้เป็นเนื้อหาท่อนหนึ่งในบทเพลง “คิดถึงเธอ” ของวง นากา
มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครับ ใจคนไม่แน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ความรักและใจคนก็เช่นกัน
ความรักที่มีมากมาย สุดท้ายอาจกลับกลายเป็นหน่ายแหนง

เมื่อเรารักใครสักคนมาก ๆ เราจะไม่อยากเสียเขาไป ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่เรามักจะลืมนึกถึงความเป็นจริงของชีวิต ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรแน่นอน ความรักก็เช่นกัน
ความรักของคนสองคนจะยืนยาวแค่ไหนนั้น มันก็ขึ้นอยู่ที่ว่า เหตุแห่งความรัก ๒ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นมันสมบูรณ์แค่ไหน
ข้อแรก บุปเพสันนิวาส เหตุในอดีตคือชาติก่อน ๆ นั้น เราได้สร้างเหตุร่วมกันไว้มากแค่ไหน เพียงพอที่จะทำให้เราครองคู่กันในชาตินี้ได้ยืนยาวจนตลอดชีวิตหรือไม่ อันนี้ก็สำคัญ ถ้าสร้างเหตุร่วมกันไว้ในอดีตไม่มากพอ แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ชาตินี้ก็ครองคู่กันได้แค่ช่วงเวลาหนึ่ง สุดท้ายก็ต้องเลิกรากันไป
ข้อสอง การเกื้อกูลกันในปัจจุบัน อันนี้สำคัญยิ่งกว่า เพราะคนรักกัน รักที่ปัจจุบัน ดังนั้นปัจจุบันจึงสำคัญที่สุด คู่รักต้องประคับประคองความรักร่วมกัน ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ จึงจะสามารถประคับประคองชีวิตคู่ให้ตลอดรอดฝั่งได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็ไปกันไม่รอด สุดท้ายก็ต้องเลิกรากันไปอยู่ดี
ทีนี้ ถ้ามีเหตุให้ต้องเลิกรากัน เราจะทำใจได้แค่ไหน จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร มันก็ขึ้นอยู่ที่ว่า เราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตมากแค่ไหน หรือเรามีมุมมองชีวิตอย่างไร

ถ้าเราไม่เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต เราจะบอกตัวเองว่า เราอกหัก แล้วเราก็จะจมปรักอยู่กับความรู้สึกอกหัก ผิดหวัง โศกเศร้า เสียใจ ถ้าออกจากความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้ สุดท้าย ชีวิตเราอาจจะพังได้
แต่ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต เราจะคิดได้ทันทีว่า การที่เรากับเขาต้องเลิกรากันไป อาจเป็นเพราะเหตุที่สร้างไว้ในอดีตมีอยู่แค่นี้ จึงได้อยู่ร่วมกันเพียงแค่นี้ เมื่อเหตุที่สร้างไว้ได้หมดลง ก็ต้องแยกทางกันไปตามกรรมที่แต่ละคนได้สร้างไว้ ก็เท่านั้นเอง
หรือปัจจุบันเราไม่ได้ประคับประคองกันเท่าที่ควร ไม่ได้ใส่ใจกันเท่าที่ควร เมื่อเหตุไม่สมบูรณ์ ผลก็ย่อมไม่สมบูรณ์ตามไปด้วย เขาเองก็มีกรรมของเขา และตัวเราเองก็มีกรรมของเรา เมื่อกรรมที่แต่ละคนสร้างไว้ไม่สมดุลกัน จึงเป็นเหตุให้ต้องต่างคนต่างไปตามทางของตนเอง ก็แค่นั้นเอง
เมื่อคิดได้ดังนี้ ความรู้สึกอกหักจะไม่เกิดขึ้น ความโศกเศร้าเสียใจก็จะไม่มี เราก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไม่มีปัญหา
สุดท้ายขอฝากไว้นิดหนึ่งนะครับ เจอกันก็เป็นเรื่องธรรมดา รักกันก็เป็นเรื่องธรรมดา จากกันก็เป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นธรรมดาของชีวิต เมื่อเรามองทุกสิ่งทุกอย่างให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เราจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไม่ธรรมดา.