สิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากหรือทำได้ยาก 4 อย่าง

สิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากหรือทำได้ยาก 4 อย่าง
การที่เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ นับเป็นเรื่องที่ยากนักยากหนา เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว จะมีชีวิตจนเติบใหญ่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องดำรงชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ (จนได้มาอ่านบทความนี้อยู่ในขณะนี้ ซึ่งความจริงก็ไม่เกี่ยว ^_^) ก็ยากนักยากหนา
และการจะมีโอกาสได้สดับรับฟังพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยากนักยากหนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจะได้พบพระพุทธเจ้า (ซึ่งเราท่านทั้งหลายพลาดโอกาสนั้นไปแล้ว แต่ก็ยังมีวาสนาอยู่ ที่ได้มีโอกาสได้สดับรับฟังศึกษาเรียนรู้หลักธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้) ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ดังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า
กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ…………กิจฺฉํ มจฺจานชีวิตํ
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ…..กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท.
“ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก, ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยาก, การฟังพระสัทธรรม เป็นของยาก, การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นการยาก.”
พระคาถาเบื้องต้นนั้น กล่าวถึงเรื่องยาก ๆ 4 ประการ คือ
ประการที่ 1 กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก
เราท่านทั้งหลายที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ก็จะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้เลย หากแต่ว่าต้องผ่านการบำเพ็ญบารมี ต้องผ่านการบำเพ็ญบุญกุศลมาอย่างมากมาย เช่น เคยให้ทานมามาก เคยรักษาศีลมามาก เคยเจริญภาวนามามาก บุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงที่ได้เคยบำเพ็ญมาอย่างมากมายนั่นแหละที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในภพนี้ชาตินี้
ถ้าผู้ใดเคยทำบาปอกุศลไว้มาก ไม่เคยทำบุญทำทาน ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยเจริญภาวนา การที่ผู้นั้นจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ หากแต่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ ต้องไปเกิดในนรก ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย หรือเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้น
และการที่เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาบนโลกมนุษย์นี้แล้ว จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ซะเลยทีเดียวก็ไม่ใช่ แรกเริ่มเดิมทีนั้นก็แค่เพียงได้ชื่อว่าเป็น “คน” ยังไม่เป็นมนุษย์ เพราะอะไร ? เพราะคำว่า “มนุษย์” นั้นมาจากคำบาลีว่า “มนุสฺส” แยกศัพท์ได้เป็น “มน” กับ “อุสฺส” รวมกันเป็น “มนุสฺส” แปลว่า “ผู้มีใจสูง”
เพราะฉะนั้น การที่เราจะเป็นได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์นั้น จะต้องมีใจสูง คือมีจิตใจที่สูงส่งด้วยคุณธรรม เบื้องต้นเลยก็คือต้องมีศีลาจารวัตรที่บริสุทธิ์งดงาม ไม่มีจิตคิดประทุษร้ายเบียดเบียนทำร้ายสิ่งมีชีวิตทุกจำพวก ไม่มีโลภจิตคิดอยากได้ในทางที่ไม่ชอบธรรมจนต้องลักขโมยหรือฉ้อโกงเอาทรัพย์ของคนอื่น ไม่หลงไหลในกามจนหน้ามืดตามัวประพฤติผิดในลูกเขาผัวใครเมียใคร ไม่เป็นคนปลิ้นปล้อนตอแหลโกหกพกลม ไม่หลงใหลในอบายมุขสุรายาเมาและสิ่งเสพติดทุกชนิด เหล่านี้เป็นต้น
คือต้องประพฤติตัวให้อยู่ในศีลในธรรมอยู่ในกรอบอยู่ในกฏเกณฑ์ของสังคมหรือกฏหมายบ้านเมือง เป็นต้น หาไม่แล้วก็คงเป็นได้แต่เพียงคนเท่านั้น ไม่สามารถที่จะยกระดับจิตของตนให้ขึ้นสู่ภาวะแห่งมนุษย์ได้ ด้วยเหตุผลย่อ ๆ ดังว่ามาข้างต้นนั้นจึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่า “ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์นั้นเป็นการยาก”
ประการที่ 2 กิจฺฉํ มจฺจานชีวิตํ ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยาก
เมื่อเราท่านทั้งหลายได้เกิดมาบนโลกใบนี้แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดิ้นรนขวนขวายประกอบกิจการงานอาชีพต่าง ๆ เพื่อที่จะหาทรัพย์สินเงินทองข้าวปลาอาหารมาประทังชีวิตตนเองและคนในครอบครัว
และคนเราเกิดมาแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันทุกคน บางคนเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่ง พ่อรวยแม่รวย พอเกิดมาก็รวยไม่รู้เรื่องเลย บางคนเกิดมาในกระกูลที่พอมีอยู่มีกินไปวัน ๆ พอหาเลี้ยงชีพได้ไม่ลำบากนัก บางคนเกิดมาในตระกูลที่ขัดสนยากจนแสนเข็ญ ข้าวปลาอาหารที่จะกินในแต่ละวันก็แทบจะไม่มี ชีวิตของคนเรามันต่างกันอย่างนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าบุญกุศลที่ได้เคยสร้างสมอบรมมาต่างกัน
คนที่เคยบำเพ็ญทานบารมีมาเยอะรักษาศีลมาดีก็เกิดในตระกูลที่ดีมีอยู่มีกินไม่ฝืดเคือง คนที่ไม่เคยบำเพ็ญทานบารมีหรือบำเพ็ญมาบ้างแต่น้อยเหลือเกิน พอเกิดมาแล้วก็ลำบากมากกว่าคนอื่นเขา ต้องดิ้นรนทำมาหากินปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำต่าง ๆ นา ๆ อันนี้ก็เป็นเพราะว่าบุญและบาปที่ได้ทำมาของแต่ละคนนั้นต่างกัน
นอกจากนั้นพอเกิดมาแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะมีอายุยืนด้วยกันทุกคน บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา บางคนเกิดมาก็ตายเลย บางคนตายในวัยเด็ก บางคนตายในวัยหนุ่มสาว บางคนตายในวัยกลางคน บางคนตายตอนแก่ บางคนตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
บางคนตายเพราะโดนคนอื่นฆ่า บางคนโดนรถชนตาย บางคนฆ่าตัวตาย บางคนแก่ตาย บางคนตายดี บางคนตายอย่างทุกข์ทรมาน เหล่านี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า “ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยาก”
ประการที่ 3 กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การฟังพระสัทธรรม เป็นของยาก
โดยปกติของคนเรานั้นย่อมจะหลงใหลในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นธรรมดา แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นสอนให้เห็นทุกข์เห็นโทษในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เหล่านั้น สอนให้เรามองสิ่งเหล่านั้นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือให้มองให้รู้แจ้งเห็นจริงว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
แต่ตราบใดที่เรายังหลงใหลในสิ่งเหล่านั้น ยังเพลิดเพลินในสิ่งเหล่านั้นอยู่ เราก็ย่อมจะไม่อยากฟังธรรมะ ไม่อยากฟังคำพูดใด ๆ จากใครก็ตาม ที่สอนให้เห็นทุกข์เห็นโทษของมัน เพราะมันขัดกับจริตของเรา มันขัดต่อความรู้สึกของเรา มันขัดต่อความต้องการของเรา
เมื่อไม่อยากฟังก็ไม่ยอมรับฟัง เมื่อไม่ยอมรับฟังก็ไม่เกิดความรูแจ้งเห็นจริง ไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ ไม่เห็นสามัญลักษณ์คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ดังกล่าว มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้
คนที่ใคร่จะสดับรับฟังพระสัทธรรมกับคนที่ไม่ปรารถนาจะฟังพระสัทธรรมก็เปรียบเสมือนขนโคกับเขาโค ลองนึกภาพดูสิว่าโคหนึ่งตัวมีขนกี่เส้น มีเขากี่เขา ขนมันเยอะกว่าเขามากมายเหลือจะพรรณนา คนที่มีจิตใจฝักใฝ่อยากจะฟังพระสัทธรรมนั้นเปรียบเสมือนเขาโคที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ส่วนคนที่ไม่ปรารถนาจะฟังพระสัทธรรมนั้นเปรียบเสมือนขนโคที่มีอยู่มากมายเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม ในพระคาถาเบื้องต้นนั้น พระพุทธองค์ตรัสหมายเอาผู้แสดงพระสัทธรรม คือที่พระองค์ตรัสว่า “การฟังพระสัทธรรม เป็นของยาก” นั้น พระองค์ทรงหมายความว่า ผู้ที่ศึกษาพระสัทธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและปฏิบัติตามให้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วนำพระสัทธรรมนั้นมาเผยแพร่มาแสดงมากล่าวสอนชาวโลกให้รู้ตามเห็นตามนั้นหาได้ยากยิ่งนัก เพราะฉะนั้น การที่เราจะมีโอกาสได้ฟังพระสัทธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย
ณ กาลนี้เวลานี้สมัยนี้ ในประเทศไทยของเรายังมีพระสงฆ์สาวกผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนำพระสัทธรรมคำสอนนั้นมาประกาศบอกสอนแก่ชาวโลกให้รู้ตามอยู่ จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราท่านทั้งหลายจะรีบขวนขวายหาโอกาสฟังพระสัทธรรมและประพฤติปฏิบัติตามให้รู้แจ้งเห็นจริง ก่อนที่จะหาผู้แสดงพระสัทธรรมคำสอนเช่นนั้นไม่ได้อีกในอนาคต
ประการที่ 4 กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นการยาก
เราท่านทั้งหลายที่เกิดมาในยุคนี้สมัยนี้ คงไม่มีใครได้เห็นพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครเคยเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ทรงเสด็จปรินิพพานไปนานแล้ว คงเหลืออยู่ก็แต่พระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของพระองค์ได้ดีที่สุด
การที่เราท่านทั้งหลายเกิดมาแล้วจะได้เห็นพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้เสด็จอุบัติขึ้นบ่อย ๆ เพราะพระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องบำเพ็ญบารมีให้เต็มเปี่ยมเสียก่อนจึงจะมาตรัสรู้ได้ และระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์แต่ละประเภทนั้นก็ยาวนานแตกต่างกันไป
พระโพธิสัตว์ประเภท ปัญญาธิกะ คือประเภทที่มีปัญญามากกว่าศรัทธาและความเพียร ต้องบำเพ็ญบารมีอยู่นานถึง 20 อสงขัยกับแสนกัป จึงจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
พระโพธิสัตว์ประเภท สัทธาธิกะ คือประเภทที่มีศรัทธามากกว่าปัญญาและความเพียร ต้องบำเพ็ญบารมีอยู่นานถึง 40 อสงขัยกับแสนกัป จึงจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
พระโพธิสัตว์ประเภท วิริยาธิกะ คือประเภทที่มีความเพียรมากกว่าศรัทธาและปัญญา ต้องบำเพ็ญบารมีอยู่นานถึง 80 อสงขัยกับแสนกัป จึงจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
เพราะเหตุดังว่ามานั้นจึงกล่าวได้ว่า “การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้านั้นเป็นการยาก”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคของเรานั้นจะเสด็จปรินิพพานไปนานแล้ว แต่พระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ยังทรงอยู่ และเราก็สามารถที่จะเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ด้วยการศึกษาพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระองค์และประพฤติปฏิบัติตามให้รู้แจ้งเห็นจริง เพราะพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”.