ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา

ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา
เราท่านทั้งหลายคงจะเคยผ่านทั้งความดีและความชั่วมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ส่วนอย่างแรกกับอย่างหลังอันไหนจะเยอะกว่ากันก็อีกเรื่อง เพราะระดับจิตของคนเราไม่เท่ากัน โอกาสในการทำความดีกับความชั่วของคนเราก็ไม่เท่ากัน สภาพแวดล้อมของคนเราก็ไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ความประพฤติของคนเราจึงไม่เหมือนกัน และผลของความประพฤติ (ผลกรรม) ของคนเราก็ปรากฏช้าบ้างเร็วบ้างแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นเหตุให้หลาย ๆ คนเข้าใจผิด หนัก ๆ เข้าก็อาจถึงขั้นกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลย คือไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องผลของกรรม ไม่เชื่อเรื่องบาปเรื่องบุญ เป็นต้น
ยกตัวอย่างเช่น คนบางคนเกิดมาร่ำรวยมีเงินทอง มีพวกพ้องมากมาย มีอำนาจวาสนา แต่ปัญญาทราม ขาดศีลธรรมจรรยา บ้าอำนาจ คิดอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจ ใครจะเดือดร้อนก็ไม่สน ประพฤติผิดศีลผิดธรรมอยู่เป็นนิตย์ ไม่คิดจะทำบุญกุศล เพราะตัวเองรวยแล้ว สบายแล้ว ยิ่งใหญ่แล้ว มีความสุขมากแล้ว
ทำอะไรที่ผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ไม่ต้องกลัวโดนจับเข้าคุกเข้าตะรางเพราะมีคนคอยช่วยเหลือ ทำผิดศีลผิดธรรมแค่ไหนก็ไม่เดือดร้อนอะไร ยังร่ำรวยอยู่เหมือนเดิม ยังมีความสุขอยู่เหมือนเดิม ยังมีพวกพ้องมากมายอยู่เหมือนเดิม
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะบุญเก่าของเขายังไม่หมดและบุญเก่านั้นมีกำลังมาก เมื่อบุญเก่ายังไม่หมดและเขาได้เสวยผลของบุญนั้นอยู่ ย่อมทำให้เกิดความหลงผิดคิดว่าบาปไม่มีบุญไม่มี จึงไม่คิดทำบุญและไม่เกรงกลัวบาป
ต่อเมื่อใดที่บุญเก่าหมด และเขาได้รับผลของบาปที่ได้ทำเอาไว้แล้วเท่านั้นจึงจะหวนคิดได้ในภายหลัง ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้นมันก็อาจจะสายเกินไปเสียแล้วก็เป็นได้ เขาอาจจะหมดเวลาหมดโอกาสได้กลับตัวกลับใจ หมดเวลาที่จะได้บำเพ็ญบุญกุศลเสียแล้วก็เป็นได้ เข้าทำนองที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” ยังไงยังงั้น
หรือคนบางคนอาจจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี คือมีคนคอยบอกคอยสอนให้อยู่ในศีลกินในธรรม มีกัลยาณมิตรคอยแนะนำในทางที่ดี จึงมีโอกาสได้ทำความดี ได้บำเพ็ญบุญกุศลอยู่เสมอ หากแต่ว่าบาปที่ได้เคยทำไว้แต่ชาติปางก่อนมีมากกว่ามีกำลังกว่า จึงเป็นผลให้บุญที่ทำไปไม่ปรากฏผลให้เห็น
ไม่ว่าจะทำความดีแค่ไหน ไม่ว่าจะทำบุญกุศลสักเท่าไหร่ ก็ยังต้องทนทุกข์ยากลำบากอยู่ ถูกพวกคนบาปคนพาลเบียดเบียนกลั่นแกล้งบ้าง หาเลี้ยงชีพฝืดเคืองบ้าง ประหนึ่งว่าทำความดีไม่ขึ้นเอาเสียเลยฉะนั้น เช่นนี้ก็อาจจะทำให้คน ๆ นั้นเห็นผิดเป็นชอบได้ คือเห็นว่าบุญไม่มีจริง ทำความดีก็ไม่เห็นจะได้ดี ทำบุญแค่ไหนก็ไม่เห็นว่าจะได้รับผลแห่งบุญสักที สุดท้ายก็เลิกทำบุญกุศล เลิกทำความดีไปเสีย เป็นต้น
อันนี้ก็เป็นเพราะผลของบาปเก่าที่ได้เคยทำไว้ในอดีตชาติยังให้ผลอยู่ ยังมีกำลังกล้าอยู่ ต่อเมื่อบาปเก่านั้นหมดไปเมื่อไหร่หรืออ่อนกำลังลงเมื่อไหร่ก็จะได้รับผลแห่งบุญและจะได้รู้ว่าผลแห่งบุญนั้นมีจริง ผลแห่งความดีมีจริง เห็นว่าการทำบุญเป็นสิ่งที่ดี เห็นว่าการทำบาปเป็นสิ่งที่ชั่ว
เมื่อครั้งพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เคยได้ทรงปรารภเทวดาอันธพาลตนหนึ่ง ตรัสกับอนาถปิณฑิกเศรษฐีว่า
“ดูก่อนคฤหบดี แม้บุคคลผู้ทำบาปในโลกนี้ ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล, แต่เมื่อใดบาปของเขาเผล็ดผล, เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่วแท้ ๆ, ฝ่ายบุคคลผู้ทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล, แต่เมื่อใด กรรมดีของเขาเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดีว่าดีจริง ๆ” มีพระคาถาอ้างอิงว่า
ปาโปปิ ปสฺสตี ภทฺรํ……………..ยาว ปาปํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ…..อถ [ปาโป] ปาปานิ ปสฺสติ
ภทฺโรปิ ปสฺสตี ปาปํ……………..ยาว ภทฺรํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ภทฺรํ….อถ [ภทฺโร] ภทฺรานิ ปสฺสติ.
“แม้คนผู้ทำบาป ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใดบาปเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว ฝ่ายคนทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใด กรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดีว่าดี.”
ดังนั้น ทำความดีไว้ย่อมจะดีกว่า ถึงแม้ว่าจะยังไม่เห็นผลในปัจจุบันทันด่วน แต่เมื่อถึงคราวที่ความดีนั้นให้ผล ย่อมจะได้รับความสุขความเจริญอันเกิดจากผลแห่งความดีนั้นแน่นอน.