คิดดีชีวีสุขสันต์

คิดดีชีวีสุขสันต์
คนเรานี่ชอบคิดนะ คิดไปเรื่อยเปื่อย คิดดีบ้างไม่ดีบ้าง คิดเหลวไหลไร้สาระบ้าง มีสาระบ้าง ว่างเมื่อไหร่เป็นคิด เอ๊ะ หรือจะเป็นเพราะว่า เราเป็นคนมีความคิด อืม ฟังดูดีนะ มันก็อาจจะเป็นไปได้ ก็เรามีชีวิตจิตใจ มีสมอง ดังนั้น เราทุกคนจึงมีสิทธิ์ที่จะคิด
ก็เป็นอันว่า ทุกคนมีสิทธิ์คิด ไม่มีใครสามารถห้ามความคิดใครได้หรอก แม้แต่ตัวเราเองยังห้ามความคิดของตัวเองไม่ได้เลย จริงไหมครับ

แต่ความคิดนี่มันมีหลายลักษณะ เช่น คิดดี คิดชั่ว คิดบวก คิดลบ หรือแม้แต่ คิดถึงเธอ อย่างหลังนี่ หลาย ๆ คนก็คงจะคิดอยู่บ่อย ๆ หรืออาจคิดทั้งวันก็เป็นไปได้ อะนะ ก็ว่ากันไป
ก็เอาเป็นว่า ถ้าคิดดีก็ดีไป แต่ถ้าคิดไม่ดีนี่สิ มันจะเป็นภัยแก่ตัวเองนะ หรือยิ่งไปกว่านั้น มันอาจจะเป็นภัยต่อคนรอบข้างหรือสังคมโดยรวมก็เป็นได้ ดังคำที่มีผู้กล่าวเอาไว้ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว”
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเอาไว้ว่า “จิตฺเตน นียตี โลโก” “สัตว์โลก อันจิตย่อมนำไป” ความหมายก็คือ สัตว์โลกทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เดรัจฉาน ล้วนเป็นไปตามอำนาจของจิต ถ้าจิตดี คิดดี จิตก็จะพาเราไปในทิศทางที่ดี แต่ถ้าจิตถูกกิเลสครอบงำ คิดชั่ว จิตก็จะพาเราให้ตกต่ำ เรียกได้ว่า “คิดอย่างไรได้อย่างนั้น”
เมื่อรู้ดังนี้แล้ว สิ่งที่เราควรทำที่สุดก็คือ ฝึกควบคุมความคิด คิดได้ แต่ให้คิดไปในทิศทางที่ดี คิดไปในทางที่เป็นบุญเป็นกุศล
คิดทีไร ให้คิดด้วย เมตตาจิต
อย่าหลงผิด คิดชั่ว ให้มัวหมอง
กรุณา มุทิตาด้วย ช่วยประคอง
อีกหนึ่งต้อง อุเบกขา อย่าละเลย.

คิดด้วยเมตตาจิต ก็คือ คิดด้วยความรักความหวังดีต่อคนรอบข้าง อยากให้คนรอบข้างหรือคนทั้งหลายในสังคมมีความสุขสมหวัง อยากให้ใครต่อใครประสบความสำเร็จ เมื่อคิดด้วยเมตตาจิตเช่นนี้ เราก็จะไม่อยากเบียดเบียนใครแล้ว ก็ในเมื่ออยากให้เขามีความสุข แล้วจะไปเบียดเบียนเขาให้เป็นทุกข์ทำไมละครับ จริงไหม อันนี้เรียกว่า คิดด้วยเมตตาจิต
คิดด้วยความกรุณา ก็คือ ความคิดที่ประกอบไปด้วยความรู้สึกสงสารคนอื่น อยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลคนรอบข้างที่เขาตกทุกข์ได้ยาก เมื่อเรามีความคิดที่ประกอบด้วยความกรุณาอย่างนี้แล้ว พอเห็นคนอื่นทุกข์ยากลำบากเราก็จะอยากช่วยเหลือ แล้วก็ยื่นมือช่วยเหลือเท่าที่จะสามารถช่วยได้ สุขใจกันไปทั้งสองฝ่าย อย่างนี้เรียกว่า ความคิดที่ประกอบด้วยความกรุณา
คิดด้วยมุทิตา ก็คือ ความคิดที่ประกอบไปด้วยความรู้สึกยินดีปรีดาเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสุข เห็นใครเขาประสบความสุขสำเร็จในชีวิต ก็พลอยยินดีไปกับเขาด้วย เมื่อมีความคิดที่ประกอบด้วยมุทิตาเช่นนี้ เราก็จะไม่มีความคิดริษยาใครเขา ใจเราก็จะได้ไม่ทุกข์ร้อน อย่างนี้เรียกว่า ความคิดที่ประกอบด้วยมุทิตา

คิดอย่างอุเบกขา ก็คือ ความคิดที่ประกอบไปด้วยอารมณ์ปล่อยวาง วางใจเป็นกลาง ๆ ไม่หลงยินดีไปกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ไม่หลงทุกข์ร้อนไปกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็สามารถทำใจให้นิ่งต่ออารมณ์เหล่านั้นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตใจเราก็จะเป็นจิตที่อยู่เหนือความสุขและความทุกข์ทั้งหลาย สบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ อันนี้เรียกว่า ความคิดที่ประกอบด้วยอุเบกขา
ลองคิดดูสิว่า ถ้าเราคิดได้ดังนี้ คนรอบข้างเราก็คิดได้ดังนี้ คนอื่น ๆ ก็คิดได้ดังนี้ แล้วสังคมของเราจะร่มเย็นเป็นสุขขนาดไหน เพียงแค่คิดก็สุขใจมากมายเหลือเกินแล้ว ถ้าทำได้ คงหาถ้อยคำมาบรรยายความสุขไม่ถูกเลยทีเดียว.