ถ้าจิตใจไม่ดี การพูดก็ไม่ดี การกระทำก็ไม่ดี

ถ้าจิตใจไม่ดี การพูดก็ไม่ดี การกระทำก็ไม่ดี
เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่คนเรานั้น บางครั้งก็ทำดี บางทีก็ทำชั่ว บางครั้งก็พูดดี บางทีก็พูดเลวๆ ออกมา แต่เมื่อจะว่ากันตามหลักแล้ว กายที่มันทำดีหรือชั่ว มันก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ปากที่พูดดีหรือชั่ว มันก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไร มันเป็นไปตามอำนาจของจิตที่สั่งการทั้งนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา…….มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน…………….ภาสตี วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ………………จกฺกํว วหโต ปทํ.
“ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ, ถ้าบุคคลมีใจร้าย พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น ดุจล้อหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่ ฉะนั้น.”
ความหมายก็คือ จิตนี้เป็นหัวหน้าหรือเป็นต้นตอของทุกอย่าง คนจะทำชั่ว ตัวนำก็คือจิต คนจะทำดี ลูกพี่ก็คือจิต ที่ว่าจิต ๆ นี้ก็คือใจนี่แหละครับ ใจก็คือจิต จิตก็คือใจ ถ้าจะเรียกแบบไม่ให้งงก็เรียกว่า “จิตใจ” จะได้จบๆ ไม่ต้องสงสัยกันอีก
เมื่อพูดถึงหัวหน้าแล้วก็ขอเปรียบเทียบสักหน่อยนะครับ ในหมู่บ้านหนึ่งๆ ก็มีผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้า ในตำบลหนึ่งๆ ก็มีกำนันเป็นหัวหน้า ตลอดไปจนถึงระดับประเทศ บ้างก็มีประธานาธิบดีเป็นหัวหน้า บ้างก็มีพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้า หรือผู้นำนั่นแหละ จะเป็นไปในทิศทางไหนก็ขึ้นอยู่ที่ผู้นำเป็นสำคัญ
ร่างกายคนเราก็เช่นกัน มีจิตเป็นผู้นำ มีจิตเป็นใหญ่ มีจิตเป็นหัวหน้า จะเป็นไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ก็อยู่ที่ผู้นำคือจิตจะสั่งการ พอพูดมาถึงตรงนี้ก็เข้าประเด็นละครับ
ถ้าจิตของเราถูกกิเลสครอบงำ เวลาจิตสั่งการให้ทำ ให้พูด หรือแม้แต่ให้คิดสิ่งใด ๆ ก็จะสั่งการไปตามอำนาจของกิเลสนั้น ๆ เช่น ถ้าถูกความโกรธครอบงำ ก็สั่งการให้ทำตามอำนาจของความโกรธ เช่น สั่งให้ด่า สั่งให้ฆ่า สั่งให้ตี เป็นต้น

ถ้าจิตถูกความโลภครอบงำ ก็จะสั่งการให้ร่างกายทำตามอำนาจของความโลภ เช่น สั่งให้ลักให้ขโมยของของคนอื่น เป็นต้น ผลที่ตามมาก็มีแต่ความเสียหายเกิดขึ้น ถ้าไปด่าคนอื่น ก็ถูกด่ากลับ หรือเกิดการทะเลาะเบาะแว้งชกต่อยกันขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว หนัก ๆ เข้าก็ฆ่ากันตาย สุดท้ายก็ต้องรับโทษทัณฑ์ตามกฎหมายบ้านเมือง
แต่ไม่ใช่ว่าจะได้รับโทษในปัจจุบันชาตินี้เท่านั้น เมื่อล่วงลับดับชีวาลงไปก็ต้องไปรับโทษในนรกอีก เสร็จแล้วยังมีเศษวิบากติดตัวไปในภพใหม่ชาติใหม่อีก
แล้วเราจะทำอย่างไร ไม่ให้ตัวเราเองทำชั่วตามอำนาจของจิต วิธีก็คือ ต้องใช้สติ ก่อนจะทำสิ่งใด ก่อนจะพูดสิ่งใด ให้พิจารณาให้รอบคอบก่อนว่า ขณะนั้นจิตของเรามีสภาพเป็นอย่างไร เรากำลังโกรธอยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ แสดงว่าจิตถูกความโกรธครอบงำอยู่ หรือเรากำลังอยากได้สิ่งใดในทางที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมหรือเปล่า ถ้าใช่ นั่นก็แสดงว่าจิตของเราถูกความโลภครอบงำอยู่ เป็นต้น
ถ้าพิจารณาถี่ถ้วนแล้วเห็นว่าจิตใจของเราถูกกิเลสครอบงำอยู่ตามที่กล่าวมา ก็ให้ยับยั้งการทำ การพูด การคิด เอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรตามที่จิตสั่งการในขณะนั้น เพราะผลที่เกิดขึ้นย่อมเป็นผลที่ไม่ดีแน่นอน
หากทำได้ดังที่กล่าวมานี้ เราจะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายอันเกิดจากการทำ การพูด การคิด ในทางที่ชั่วหรือเสื่อมเสียได้อย่างแน่นอน ลองทำตามดูนะครับ.